แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สุขภาพ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สุขภาพ แสดงบทความทั้งหมด

นอน ทุกคนมีโอกาสเกิดการนอนไม่หลับขึ้นได้ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งของชีวิต และร้อยละ 10 พบปัญหานอนไม่หลับเรื้อรังซึ่งอาจต้องใช้ยาเพื่อช่วยในการนอนหลับ


การนอนเป็นส่วนสำคัญของชีวิต สมองและร่างกาย ใช้ช่วงเวลาขณะหลับในการบำรุงซ่อมแซมส่วนต่างๆ ให้ดีขึ้น เพื่อให้ร่างกายมีประสิทธิภาพที่ดีในการทำงาน ดังนั้นการนอนหลับที่เพียงพอจึงมีความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตที่ดีคนเราใช้เวลานอนหลับ 1 ใน 3 ของเวลาทั้งหมด ความต้องการในการนอนหลับของแต่ละคนไม่เท่ากัน คนส่วนใหญ่ต้องการนอนวันละ 8 ชั่วโมง บางคนนอนแค่วันละ 5-6 ชั่วโมง โดยไม่มีอาการง่วงนอน ทุกคนมีโอกาสเกิดการนอนไม่หลับขึ้นได้ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งของชีวิต และร้อยละ 10 พบปัญหานอนไม่หลับเรื้อรังซึ่งอาจต้องใช้ยาเพื่อช่วยในการนอนหลับ

โดยพบเพิ่มขึ้นตามอายุที่สูงขึ้น และพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ผู้ที่ทำงานเป็นกะผลัดเวรเกิดปัญหานอนไม่หลับง่ายกว่างานอื่น การนอนไม่หลับไม่ใช่โรค แต่เป็นปัญหาการนอนไม่เพียงพอ ทำให้ตื่นขึ้นมาแล้วไม่สดชื่น ซึ่งส่งผลกระทบต่อหน้าที่การทำงาน และความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ แต่ละคนอาจมีความรู้สึกต่อการนอนไม่หลับได้หลายแบบ เช่น นอนหลับยาก ใช้เวลานานจึงจะหลับ นอนหลับไม่สนิท นอนหลับๆ ตื่นๆ นอนเร็วกว่าปกติ ตื่นนอนแล้วไม่สดชื่นเหมือนไม่ได้หลับ บางคนอาจคิดหมกมุ่นอยู่กับอาการของตน ซึ่งปัญหานอนไม่หลับมีหลายแบบตามระยะเวลา ได้แก่ แบบชั่วคราว แบบเป็นๆ หายๆ และแบบเรื้อรัง การรักษาปัญหาการนอนไม่หลับมีวิธีดังนี้

1. เข้านอนและตื่นนอนตรงเวลาทุกวัน เพื่อให้เกิดความเคยชิน โดยอยากนอนและตื่นเมื่อถึงเวลากำหนด ควรลงบันทึกตารางเวลานอนทุกวันอย่างสม่ำเสมอ

2. ลุกจากเตียงทันทีเมื่อตื่น การสัมผัสแสงแดดอ่อนตอนเช้า และออกกำลังกายเบาๆ หลังตื่นนอน 10-15 นาทีก่อนทำกิจกรรมอื่นจะช่วยให้สมองและร่างกายตื่นตัว สามารถปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ได้ดี

3. จัดกิจกรรมผ่อนคลายเป็นประจำช่วง 1-2 ชั่วโมงก่อนนอน เช่น อาบน้ำอุ่น ดื่มนมหรือน้ำผลไม้ อ่านหนังสือเบาๆ 10 นาที หรือฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เพื่อให้ร่างกายอยู่ในสภาพผ่อนคลายและมีสมาธิดีขึ้น หลีกเลี่ยงการทำงานหรือกิจกรรมที่ตึงเครียดก่อนเข้านอน หากมีเรื่องที่ต้องคิดหรือมีความเครียดกังวลง่าย แนะนำให้ใช้เวลาช่วงสั้นๆ หลังอาหารมื้อเย็น จดลำดับเรื่องหรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เช้าและวางแผนจัดการแต่ละเรื่องอย่างคร่าวๆ ให้ปฏิบัติทุกวันจนเกิดความเคยชิน

4. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทุกวันอย่างน้อยวันละ 30 นาที ช่วงเช้าตรู่หรือตอนเย็น จะช่วยลดความตึงเครียดทางร่างกายและอารมณ์ ช่วยให้หลับเร็วตื่นเร็ว แต่ไม่ควรปฏิบัติช่วงใกล้เข้านอน เพราะจะรบกวนการนอนหลับได้

5. ควรใช้เตียงนอนสำหรับนอนตอนกลางคืนและกิจกรรมทางเพศเท่านั้น ไม่ควรนอนเล่นบนเตียงหรือทำกิจกรรมอย่างอื่น เช่น ทำงาน ดูโทรทัศน์หรืออ่านหนังสือ ใช้เวลาบนเตียงนอนให้น้อยที่สุดในแต่ละคืน

6. จัดห้องนอนให้มืด เงียบ สบาย ปลอดภัย มีอากาศถ่ายเทสะดวก ปรับอุณหภูมิที่พอดี จะช่วยให้นอนหลับได้ดี ไม่ควรมีนาฬิกาบอกเวลาในห้องนอนหรือเฝ้าดูนาฬิกาเวลานอน

7. เมื่อเข้านอนนาน 15-30 นาที แล้วยังไม่หลับ ให้ลุกขึ้นจากที่นอนแล้วทำกิจกรรมซึ่งให้ความเพลิดเพลิน เช่น ฟังเพลงหรืออ่านหนังสือ และกลับมานอนใหม่เมื่อรู้สึกง่วงนอนเท่านั้น หลีกเลี่ยงการดูทีวี ฟังข่าว เล่นคอมพิวเตอร์ เพราะจะเร้าความรู้สึกตื่นตัวในขณะที่อยากหลับ อย่านอนอยู่บนเตียงโดยไม่หลับจนถึงเช้า เพราะจะกระตุ้นให้เกิดความวิตกกังวล

8. ไม่ควรงีบหลับในตอนกลางวัน เพราะส่งผลให้นอนหลับยาก หรือตื่นบ่อยในเวลากลางคืน ถ้าจำเป็นต้องนอน ไม่ควรนอนนานกว่า 30 นาที

9. หลีกเลี่ยงการใช้สารหรือยากระตุ้นประสาท ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เพื่อช่วยให้หลับ ไม่ควรดื่มคาเฟอีนเกินวันละ 2 ครั้ง หลีกเลี่ยงการดื่มชาหรือกาแฟหลังเที่ยงวัน อย่าสูบบุหรี่ก่อนนอนหรือกลางดึก

10. ไม่รับประทานอาหารมื้อเย็นมาก หรือดื่มน้ำมากก่อนเข้านอน แต่ไม่ควรปล่อยให้หิวก่อนเวลานอน อาหารมื้อเย็นควรเป็นอาหารมื้อเบาๆ หลีกเลี่ยงอาหารประเภทเนื้อหรือโปรตีนมากๆ และหากรับประทานอาหารมื้อก่อนนอนด้วย ควรเป็นอาหารเบาๆ เช่น นม อาหารประเภทมอลต์สกัด หรือน้ำผลไม้

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : นิตยสารเปรียว
read more

คุณใช้คอมพิวเตอร์ทำงานทุกวันหรือเปล่า? ถ้าใช่...ให้ระวังอาการปวดหลังเอาไว้ให้ดีเลย


ผู้หญิง 4 ใน 5 คนที่ทำงานด้วยคอมพิวเตอร์มักจะมีอาการปวดหลังหนักหน่วง แต่รู้ไหมว่าการปรับเปลี่ยนอะไรง่าย ๆ บางอย่างทำให้ลดอาการปวดหลังเหล่านี้ได้ และนี่เป็น 12 ข้อที่คุณต้องทำมันโดยเร็ว!!

1. ปรับระดับศีรษะ
หน้าจอคอมพิวเตอร์ของคุณและระดับศีรษะควรอยู่ในตำแหน่งตรงกัน อย่าหันจอไว้ทางซ้ายหรือขวาเพราะมันจะทำให้คุณปวดคอลามไปจนถึงหลังได้

2. ขยับเมาส์มาใกล้ ๆ
อย่าต้องให้ถึงขั้นเอื้อมมาไปลากเมาส์กันเลยค่ะ ยิ่งใกล้มือมากเท่าไหร่อาการปวดเรื้อรังเหล่านี้ก็จะหายไปได้ไวที่สุด จำไว้ว่าเมาส์ต้องอยู่ใกล้มือนะ

3. เลือกเฟ้นเก้าอี้ที่เหมาะสม
หาเก้าอี้ที่นั่งและเหมาะสม ถ้ามีพนักพิงหลังที่สบายและเหมาะกับสรีระเรามากที่สุดได้ยิ่งดี แต่ไม่ควรให้มันเอนเกินไปหรือแข็งเกินไปค่ะ

4. หายใจจากท้อง
เรียกว่าเป็นการทำสมาธิอย่างนึงเลยล่ะ กำหนดสมาธิไปที่สะดือแล้วหายใจเข้าออกช้า ๆ วิธีนี้ส่งผลกับกล้ามเนื้อและช่วงบนของร่างกาย ผ่อนคลายอาการปวดหลังได้

5. ปรับระยะคีย์บอร์ดให้เหมาะสม
ตำแหน่งที่ดีที่สุดในการวางคีย์บอร์ดเวลาพิมพ์งานคือ ลำตัวควรอยู่ห่างจากแขนในระยะ 2-3 นิ้ว และตั้งตัวตรงเพื่อมองจอได้ในระดับสายตา

6. วางเท้าให้ถูกต้อง
ระหว่างทำงานเท้าทั้งสองข้างควรวางราบกับพื้น อย่าไขว่ห้างหรือนั่งยกขาขึ้นมา เพราะจะทำให้ยิ่งปวดหลังและคอมากขึ้น แถมนั่งแบบนี้ช่วยลดความเครียดได้ด้วยนะ

7. พักบ้างอะไรบ้าง
ใครที่ทำงานติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ๆ ลุกไปพักสักประมาณครึ่งชั่วโมงเป็นการดี เป็นการยืดเส้นยืดสายช่วยผ่อนคลายการกดทับบริเวณคอ หลัง และเอว

8. ตำแหน่งของหัวเข่า
อย่างที่บอกว่าเท้าวางราบกับพื้นแล้ว หัวเข่าก็ต้องสัมพันธ์กันด้วย ปรับหัวเข่าให้อยู่ในระดับ 90 องศากับข้อเท้า จะช่วยให้กระดูกสันหลังตรงและไม่ปวดหลัง

9. ยืดไหล่เสียบ้าง
หมุนไหล่มาด้านหน้าและด้านหลังเหมือนกายบริหารสมัยเด็ก ๆ ใช้ได้ผลนะ หรือจะบีบนวดเบา ๆ ที่ต้นคอก็ได้ วิธีนี้ช่วยยืดเส้นที่ตึงให้ผ่อนคลายลดอาการปวดคอและสะบักหลังได้

10. เลิกใช้โน้ตบุ๊คซะบ้าง
ข้อจำกัดของการใช้โน้ตบุ๊คคือคุณไม่สามารถแยกจอมอร์นิเตอร์กับคีย์บอร์ดออกจากกันได้ ลองเปลี่ยนมาใช้คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเพื่อจับระดับสายตาให้บาลานซ์ดูบ้างนะ

11. อย่านั่งไขว่ห้าง
ใครนั่งท่านี้บ่อย ๆ รีบเปลี่ยนด่วน เพราะมันทำให้กระดูกสันหลังของเราคดได้ แถมยังเสี่ยงเป็นเส้นเลือดขอดอีกด้วย

12. อย่าหนีบโทรศัพท์ไว้ที่ไหล่
ใครเป็นสาวออฟฟิศแล้วชอบพิมพ์งานไปรับสายโทรศัพท์ไป แถมหนีบเอาไว้ระหว่างหูกับไหล่ เลิกเลยนะจ๊ะพฤติกรรมนี้เพราะมันกำลังทำร้ายคอและไหล่ของเรามากๆ แต่ถ้าจำเป็นต้องทำก็อย่าให้เกิน 5 นาทีก็แล้วกัน
read more

มาดู 8 ของดำเพื่อสุขภาพ กันสิครับ หากเห็นเมนูเหล่านี้ในครั้งต่อไปลองชิมสักนิดแล้วคุณจะติดใจ


นอกเหนือจากรสชาติที่แสนอร่อยแล้ว สีสันหรือรูปลักษณ์ของอาหารก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยดึงดูดความน่ารับประทาน แต่คุณรู้หรือไม่ว่าอาหารสีดำที่มีรูปลักษณ์ภายนอกดูไม่น่าสนใจ แต่ภายในแฝงไว้ด้วยคุณประโยชน์มากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่ดีต่อสุขภาพ หากเห็นเมนูเหล่านี้ในครั้งต่อไปลองชิมสักนิดแล้วคุณจะติดใจ

ข้าวโพดสีม่วง เป็นพืชเก่าแก่ของชาวเปรูนิยมรับประทานและสามารถนำไปทำสีผสมอาหารได้ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มากกว่าในวิตามินอีถึง 3.5 เท่า

สาหร่าย เป็นอาหารที่เหมาะกับคนอยากลดความอ้วนหรือคุมน้ำหนัก เพราะมีคุณสมบัติช่วยชะลอความเร็วในการย่อยอาหาร ประกอบกับเส้นใยอาหารที่สูง จึงทำให้รู้สึกอิ่มได้นาน ยิ่งเป็นสาหร่ายสีน้ำตาลดำก็ยิ่งดี เพราะมีสารที่ช่วยส่งเสริมความแข็งแรงของลำไส้และเป็นอาหารที่ดีของ แบคทีเรียดีในลำไส้ด้วย

ข้าวกล้องสีนิล รวมทั้งข้าวกล้องหอมนิล หรือข้าวกล้องไรซ์เบอรี่ ต่างมีเส้นใยอาหารสูง มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำจึงทำให้ อ้วนน้อยกว่าข้าวขาว อีกทั้งข้าวกลุ่มนี้ยังมี สารต้านอนุมูลอิสระแอนโทไซยานินที่มีคุณสมบัติต้านมะเร็งและลดความเสี่ยงต่อ โรคหลอดเลือดหัวใจด้วย

งาดำ มีไขมันดีที่ช่วยลดระดับ คอเลสเตอรอล โปรตีนและเส้นใยอาหารสูง สารอาหารสูง มีประโยชน์ต่อร่างกาย แถมยังปรุงได้หลากหลายเมนู

ถั่วดำในบรรดาถั่วทั้งหลาย ถั่วดำถือว่าเป็นถั่วที่มีสารต้านอนุมูลอิสระมากที่สุด รวมถึงเป็นแหล่งโปรตีน เส้นใยอาหาร และแร่ธาตุต่างๆ ที่ดีมากอีกด้วย

ดอกอัญชัน สมุนไพรที่ใช้กันมายาวนาน มีคุณสมบัติทั้งต้านอนุมูลอิสระ และยังคลายเครียดได้ดี หากทำงานเครียดๆ ผ่อนคลายด้วยน้ำอัญชันสักแก้วก็ดีไม่น้อย

ชาดำ นอกจากจะช่วยในเรื่องความรู้สึกผ่อนคลายเหมือนกับชาอื่นๆ แล้ว ชาดำยังมีกรดอะมิโนอยู่มาก จึงทำให้มีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจเป็นอย่างมาก

น้ำสลัดบัลซามิก เป็นน้ำสลัดรสเปรี้ยวที่ได้จากการหมักผลไม้อย่างองุ่น มักผสมอยู่ในอาหารอิตาเลียน ช่วยเพิ่ม การดูดซึมแคลเซียม ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด แถมใช้แทนไขมันที่ไม่ดีกับสุขภาพและเกลือโซเดียมได้ด้วย

ที่มาข้อมูล : http://lifestyle.th.msn.com
read more

ยอดแห่งอาหารเพื่อสุขภาพ (เห็ด) เห็ดถือเป็นสุดยอดอาหารเพื่อสุขภาพที่เรารู้จักกันมาเป็นเวลานาน และยังเป็นที่นิยมในสังคมไทยอีกด้วย


เห็ด ถือเป็นสุดยอดอาหารเพื่อสุขภาพที่เรารู้จักกันมาเป็นเวลานาน และยังเป็นที่นิยมในสังคมไทยอีกด้วย ซึ่งเห็ดก็มีหลายชนิดหลากรสชาติแตกต่างกันออกไป เห็ดทุกชนิดล้วนแล้วแต่ทรงคุณค่าทางอาหารด้วยกันทั้งสิ้น ในยุคที่กระแสอาหารเพื่อสุขภาพกำลังมาแรงจึงทำให้หลายๆ คนหันมาให้ความสนใจกับเห็ดเป็นพิเศษ เพราะว่าเห็ดเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่มีรสชาติดี ปรุงง่าย นำไปประกอบอาหารได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น ผัด ต้ม แกง ลวก อบ และยังสามารถใช้แทนเนื้อสัตว์สำหรับเมนูมังสวิรัติ หรืออาหารเจได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญเห็ดสามารถเข้ากับส่วนผสมอื่นได้อย่างเอร็ดอร่อยและลงตัว เป็นอาหารที่หาซื้อได้ง่ายตลอดทั้งปี มีจำหน่ายทั้งในแบบสด แบบแห้ง และบรรจุกระป๋อง

เห็ดหอม ถือเป็นราชาเห็ด ซึ่งประกอบไปด้วยสารอาหารที่ทรงคุณค่ามากมายที่จะทำให้สุขภาพแข็งแรงขึ้นใน หลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นช่วยลดคอเลสเตอรอล ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เลือดไหลเวียนดี ซึ่งทำให้เราหลีกเลี่ยงจากโรคอันตรายต่างๆ ได้หลายโรค และเห็ดหอมสามารถนำไปปรุงในซุปและเมนูอาหาร เพื่อสุขภาพอื่นๆ ได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว

เห็ดหูหนู สรรพคุณหลักของเห็ดชนิดนี้คือ ช่วยละลายลิ่มเลือดและลดโอกาสที่จะเกิดลิ่มเลือด ซึ่งการมีลิ่มเลือดเหล่านี้จะทำให้เราได้รับความเสี่ยงที่จะเกิดโรคร้าย ไม่ว่าจะเป็นเส้นเลือดหัวใจอุดตัน เส้นเลือดสมองอุดตัน ซึ่งโรคเหล่านี้ถือว่าเป็นโรคที่ทำให้เราเสียชีวิตได้อย่างเฉียบพลัน นอกเหนือจากคุณสมบัติหลักที่ช่วยในเรื่องละลายลิ่มเลือดแล้ว เห็ดหูหนูยังช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ ลดไข้ แก้ไอ ช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย แก้ร้อนในได้อีกด้วย เรียกว่าเห็ดหูหนูเป็นอาหารเพื่อสุขภาพครอบจักรวาลเลยทีเดียว

เห็ดเข็มทอง เป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่จะช่วยบำรุงและรักษาปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวกับทางเดินอาหารได้มากมาย อาทิ โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง โรคกระเพาะ และที่มากไปกว่านั้นเห็ดเข็มทองสามารถช่วยสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคตับและช่วย บรรเทาอาการได้ด้วย

การเลือกซื้อเห็ด แห้งควรสังเกตดูว่าแห้งจริง ไม่มีเชื้อรา และไม่มีแมลง ส่วนเห็ดสด ต้องเลือกดูเห็ดที่ใหม่ ไม่มีกลิ่น หรือเปียกน้ำ หากต้องการ เก็บรักษาเห็ดสดไว้ ควรตัดรากออก แล้วห่อด้วยกระดาษก่อนใส่ในถุงพลาสติกที่เจาะรูเล็กๆ ไว้ โดยสามารถเก็บไว้ได้ประมาณ 2-3 วัน แต่หากต้องการเก็บไว้นานกว่านั้นควรต้มแล้วใส่กล่องเก็บไว้ แต่รสชาติของเห็ดที่ได้จะไม่อร่อยเท่ากับรับประทานเห็ดสดๆ ที่สำคัญการรับประทานเห็ดต้องทำให้สุกก่อนเสมอ เพราะการบริโภคเห็ดสด อาจก่อให้เกิดพิษในร่างกาย

ที่มาข้อมูล : http://lifestyle.th.msn.com
read more